tl;dr
ในตอนแรกผมลังเลมากที่จะรีวิว IPVanish VPN เพราะผมรู้ว่าเป็นบริการที่มีฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกา โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่ามันก็เหมือนกับการขอให้หมาป่าช่วยเฝ้าแม่ไก่ IPVanish เปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 และได้เปลี่ยนเจ้าของในปี 2017 น่าเสียดายที่การเปลี่ยนเจ้าของมีผลดีต่อบริษัทเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นในมุมมองของผม ผมรู้สึกเป็นเรื่องยากที่จะแนะนำ VPN ตัวนี้ด้วยเหตุผลหลายประการทั้งประสิทธิภาพความเร็วปานกลาง ความน่าสงสัยเรื่องการไม่ระบุตัวตนและการสนับสนุนลูกค้าที่แย่มาก เรียนรู้เพิ่มเติม
IPVanish VPN ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 จึงไม่ได้เป็นบริษัทที่เก่าแก่ที่สุดในอุตสาหกรรมและในความเป็นจริงมันถูกเปลี่ยนมือไปแล้วหนึ่งครั้ง สิ่งที่ดูแปลก ๆ เกี่ยวกับบริษัทนี้คือ แม้ว่าดูเหมือนจะได้รับความนิยมขึ้นมาอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น แต่บริษัทก็ยังปล่อยให้ตัวเองไปพัวพันกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการบันทึกข้อมูลการใช้งาน ปกติเรื่องแบบนี้มีโอกาสจะปิดฉากผู้ให้บริการ VPN ได้เลย แต่บริษัทก็ยังอยู่รอดมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทนี้ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาซึ่งทำให้คำกล่าวอ้างของทางบริษัทที่ว่ามีนโยบายไม่บันทึกข้อมูลการใช้งานฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อมากเท่าไหร่ตั้งแต่ต้น แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะยังไม่มีกฎหมายบังคับให้เก็บข้อมูลแต่บรรดาหน่วยงานด้านความมั่นคงก็กระตือรือร้นอยากจะบันทึกข้อมูลเมตาของอินเทอร์เน็ตสำหรับโลกทั้งใบ จึงดูออกจะสับสนเอาการอยู่
อย่างไรก็ตาม บริษัทนี้ได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้ให้บริการที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียผสมกันไปในแง่ของประสิทธิภาพ บางอย่างดีและบางอย่างแย่มาก ดังนั้น ตอนนี้ลองมาดูกันว่าทางบริษัททำอะไรได้บ้าง
สารบัญ
ข้อดีของ IPVanish
ข้อเสียของ IPVanish
- ขาดเซิร์ฟเวอร์เสริมประสิทธิภาพ
- ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัว
- ฝ่ายบริการลูกค้าที่แย่มาก
- แอปพลิเคชั่นลูกค้าที่แย่
บทสรุป
สิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับ IPVanish VPN
1. ความพร้อมใช้งานที่ดี
IPVanish อ้างว่ามีมากกว่า 1,000 เซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานอยู่ในเครือข่ายที่เติบโตครอบคลุมกว่า 60 ประเทศทั่วโลก แน่นอนว่าเน้นไปที่ยุโรปและอเมริกาเหนือเป็นหลัก โดยมีเซิร์ฟเวอร์ 443 แห่งในยุโรปและ 561 แห่งในอเมริกาเหนือ ทำให้เหลือเซิร์ฟเวอร์ในทวีปเอเชียและส่วนอื่น ๆ ของโลกอยู่ไม่มากแต่ก็ยังครอบคลุมได้ทั่วถึง
1.1. เป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานของตัวเอง
สิ่งที่น่าทึ่งคือ IPVanish อ้างว่าบริษัทเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานในระบบของตัวเองทั้งหมด แม้ว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นจริงสำหรับอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรสำหรับส่วนที่เหลือของโครงสร้างพื้นฐานซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูล
ในฐานะผู้ให้บริการ VPN ชั้นนำเพียงรายเดียว IPVanish เป็นเจ้าของเครือข่ายทั้งหมดที่เราใช้งานรวมไปถึงเซิร์ฟเวอร์ สิ่งนี้ทำให้เราสามารถให้บริการระดับพรีเมี่ยมในราคาที่แข่งขันได้
เราไม่ปล่อยให้ความปลอดภัยของคุณตกอยู่ในการควบคุมของคนอื่น เนื่องจากเราไม่ได้ว่าจ้างบุคคลภายนอก มาจัดการโครงสร้างพื้นฐานของเรา เราจึงสามารถมอบการเชื่อมต่อ VPN ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก และหากไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาทำให้เราช้าลง เครือข่าย IPVanish นั้นรวดเร็วทันใจ
1.2. ใช้กับอุปกรณ์ได้เกือบทุกชนิด
สำหรับผู้ที่อ่านรีวิว VPN ของผมมาจนถึงตอนนี้ ผมแน่ใจว่าคุณน่าจะชินกับการที่ผมพูดถึงเรื่องการรองรับอุปกรณ์แล้วนะครับ ทั้งนี้ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคนสนใจอย่างกว้างขวางอย่าง VPN ย่อมจะมีคนไม่น้อยที่ใช้อุปกรณ์หลากหลายรูปแบบกับบริการนี้
อันที่จริง ผมกล้าพูดได้เลยว่าพวกเราหลายคนน่าจะใช้อุปกรณ์หลายเครื่องกับหลายแพลตฟอร์มภายในบ้านหลังเดียวกัน ถ้าจะพูดให้ละเอียดลงไปอีกนิด เชื่อไหมครับว่ายังมีคนใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Phone แม้แต่เพื่อนร่วมธุรกิจที่ผมสนิทด้วย
ดังนั้น การรองรับอุปกรณ์มากมายหลากหลายชนิดจึงเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของ IPVanish เลยทีเดียว
และเนื่องจาก IPVanish สามารถปรับใช้กับเราเตอร์บางตัวได้ ผมจึงเตือนผู้ที่คิดจะทำเช่นนั้นอีกครั้งไม่ว่าจะเพื่อความสะดวกหรือเพื่อความบันเทิง
หมายเหตุ
การใช้งาน VPN บนเราเตอร์จะช่วยให้คุณเอาชนะขีดจำกัดในการเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกันหลายเครื่องซึ่ง VPN ส่วนใหญ่จะเรียกเก็บเงิน อย่างไรก็ตาม มันมีข้อเสียคือในเกือบทุกกรณี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเราเตอร์ที่ใช้งานตามบ้านทั่วไป) การทำเช่นนั้นจะทำให้การรับส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตของคุณช้าลงเมื่อเทียบกับการที่คุณใช้แอป VPN เฉพาะกับอุปกรณ์ เนื่องจากเราเตอร์มีความสามารถน้อยกว่าในการรองรับการเข้ารหัสข้อมูลที่จำเป็นในแบบเรียลไทม์ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลของคุณช้าลง
2. IPVanish มีความปลอดภัยสูง
ขอพูดอย่างตรงไปตรงมาเลยนะครับว่า สำหรับผมแล้ว ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่สำคัญรองจากการไม่เปิดเผยตัวตนเมื่อใช้บริการ VPN แต่นั่นมันเป็นมุมมองส่วนตัวนะครับ แต่พอคิดถึงผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างในประเทศจีน สหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ ผมก็เข้าใจได้ถึงความจำเป็นในเรื่องการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย
บอกก่อนนะครับว่าสหรัฐอเมริกาเป็นพื้นที่หนึ่งที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเพราะมีบริษัทมากมายดำเนินคดีกับคนที่เกี่ยวข้องกับการแชร์ไฟล์ที่ผิดกฎหมาย จีนตรวจสอบเนื้อหาในอินเทอร์เน็ตอย่างหนักและสิงคโปร์กำลังเจริญรอยตามสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายประเทศที่ผู้ใช้อาจจะต้องการใช้ประโยชน์จาก VPN อย่างเช่น ประเทศในยุโรป
2.1. บังคับใช้การเข้ารหัส 256 บิต
บริการ VPN ทั้งหมดที่ผมได้ทดสอบมาจนถึงปัจจุบันอนุญาตให้ผู้ใช้เลือกระดับการเข้ารหัสได้ แต่อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่าการเข้ารหัสที่สูงขึ้นอาจจะลดความเร็วลงได้ อย่างไรก็ตาม IPVanish เข้มงวดกับเรื่องนี้มากและบังคับใช้การเข้ารหัสแบบ 256 บิตสำหรับผู้ใช้ทุกคน
หากจะพูดให้เห็นภาพชัดขึ้นก็คือ การเข้ารหัสแบบ 256 บิตเป็นหนึ่งในระดับสูงสุดที่มีอยู่ในปัจจุบันและเป็นสิ่งที่แพร่หลายในอัลกอริทึม โปรโตคอลและเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ (เรายังใช้มันกับ SSL)
การเจาะข้อมูลที่ได้รับการเข้ารหัสแบบ 256 บิตจะต้องใช้พลังการประมวลผลมหาศาลและเวลาที่เพียงพอเท่านั้น ซึ่งอาจจะใช้เวลานานกว่าช่วงชีวิตของเราเลยทีเดียว
ย้ำกันอีกครั้งนะครับว่า เรื่องสำคัญที่ควรทราบคือ ยิ่งการเชื่อมต่อมีการเข้ารหัสสูงมากเท่าไหร่ โอกาสที่การเชื่อมต่อจะช้าลงมากเท่านั้น ฉะนั้น ผมจะให้คุณตัดสินใจเองว่าชีวิตของคุณต้องการอะไรมากน้อยแค่ไหนถึงจะพอดีสำหรับคุณ
2.2. นโยบายไม่บันทึกข้อมูลการใช้งาน
นี่คือกล่องดวงใจสำหรับผู้ให้บริการ VPN เพราะเราทุกคนต้องการความมั่นใจว่า บริการ VPN ที่เราเชื่อมั่นว่าจะไม่เปิดเผยจข้อมูลของเราจะไม่กลับลำและให้ข้อมูลของเรากับคนอื่น ตอนนี้ผมขอไม่พูดอะไรเพิ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ แต่สิ่งที่พอจะพูดได้อย่างเป็นทางการคือ IPVanish มีนโยบายไม่บันทึกข้อมูลการใช้งาน
ความเป็นส่วนตัวของคุณคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญ แต่ความไว้วางใจที่คุณมีให้กับเราก็มีความสำคัญพอ ๆ กันนั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องการให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุดในนโยบายของเรา ทั้งนี้ IPVanish เป็นผู้ให้บริการ VPN ที่ไม่มีการบันทึกข้อมูลการใช้งานเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งหมายความว่าเราจะไม่เก็บบันทึกการเชื่อมต่อ การรับส่งข้อมูลหรือกิจกรรมใด ๆ เมื่อใช้บริการของเรา” – นโยบายความเป็นส่วนตัวของ IPVanish
2.3. ตัวเลือกของโปรโตคอลดี
หากการรักษาความปลอดภัยและการไม่เปิดเผยตัวตนเป็นป้อมปราการของบริการ VPN โปรโตคอลของบริษัทเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนกองกำลังอันแข็งแกร่ง IPVanish สนับสนุนโปรโตคอลที่หลากหลายมากเพื่อให้คุณสามารถนำมาใช้ได้ตามความจำเป็นกับสถานการณ์ของคุณ
IPVanish อ้างว่าสนับสนุน OpenVPN, IKEv2, L2TP / IPsec และ SSTP แต่ผมสังเกตเห็นว่าตัวเลือกสำหรับ SSTP หายไปจากแอป Windows VPN บางทีมันอาจจะถูกลบออกไป
2.4. ฟังก์ชั่น Kill Switch ทำงานได้!
VPN ส่วนใหญ่มีฟังก์ชั่นที่เรียกว่า Kill Switch ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อยุติการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณหากการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ VPN เกิดหายไปไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฟังก์ชั่นนี้ของบางค่ายทำงานได้ บางค่ายทำงานไม่ได้ แต่ผมยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า ฟังก์ชั่นนี้ของ IPVanish ทำงานได้จริง มันอาจจะช้าสักหน่อย แต่เมื่อมันทำงานแล้ว ก็จะเชื่อมต่ออะไรไม่ได้เลยจริง ๆ
อันที่จริง เมื่อคุณโหลด IPVanish แล้ว คุณจะไม่สามารถเล่นอินเทอร์เน็ตได้จนกว่าคุณจะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของทางบริษัท การท่องอินเทอร์เน็ตโดยไม่เชื่อมต่อกับ VPN จะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณออกจากซอฟต์แวร์ไคลเอ็นต์ IPVanish แล้วเท่านั้น นี่เป็นการใช้งานฟังก์ชั่นนี้ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา
3. ความเร็วเพียงพอในการสตรีมมิ่งวิดีโอขนาด 8k
นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมได้ประเมิน IPVanish และบอกตามตรงว่าความเร็วของพวกเขาดีขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่มากนัก ผมได้ลองใช้วิธีการหลายอย่างแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถทำให้บริการเร็วขึ้นได้
ผมเพิ่งสลับผู้ให้บริการบรอดแบนด์และถึงแม้ว่าความเร็วในการทดลองเชื่อมต่อของผมจะใกล้เคียง 500Mpbs ตามที่โฆษณา แต่ส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับว่ากำลังเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ไหน
อย่างน้อยที่สุดผมจะได้ความเร็วเกือบเต็มเพดานตามที่โฆษณาเมื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายในประเทศที่ผมอยู่ซึ่งก็คือมาเลเซีย
(ดูผลลัพธ์ความเร็วพื้นฐานฉบับเต็มได้ที่นี่)
อย่างไรก็ตาม ความเร็วเปลี่ยนไปเมื่อผมเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในต่างประเทศ แต่ก็เข้าใจได้เพราะระยะทางเป็นปัจจัยที่ส่งผลกับความเร็ว แถมยังมีเรื่องคุณภาพของเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องพิจารณาอีกต่างหาก
การทดสอบความเร็วของ IPVanish – เซิร์ฟเวอร์สหรัฐอเมริกา
(ดูผลการทดสอบความเร็วฉบับเต็มได้ที่นี่)
(ดูผลการทดสอบความเร็วฉบับเต็มได้ที่นี่)
การทดสอบความเร็ว IPVanish – เซิร์ฟเวอร์ยุโรป (เยอรมนี)
(ดูผลการทดสอบความเร็วฉบับเต็มได้ที่นี่)
(ดูผลการทดสอบความเร็วฉบับเต็มได้ที่นี่)
การทดสอบความเร็ว IPVanish – เซิร์ฟเวอร์แอฟริกา (แอฟริกาใต้)
(ดูผลการทดสอบความเร็วฉบับเต็มได้ที่นี่)
(ดูผลการทดสอบความเร็วฉบับเต็มได้ที่นี่)
การทดสอบความเร็ว IPVanish – เซิร์ฟเวอร์เอเชีย (สิงคโปร์)
(ดูผลการทดสอบความเร็วฉบับเต็มได้ที่นี่)
(ดูผลการทดสอบความเร็วฉบับเต็มได้ที่นี่)
การทดสอบความเร็ว IPVanish – เซิร์ฟเวอร์ออสเตรเลีย
(ดูผลการทดสอบความเร็วฉบับเต็มได้ที่นี่)
(ดูผลการทดสอบความเร็วฉบับเต็มได้ที่นี่)
อย่างที่คุณเห็นจากผลการทดสอบกับตำแหน่งหลัก ๆ ห้าแห่งทั่วโลกว่า ได้แสดงผลลัพธ์ที่แตกต่างกันเมื่อใช้ IPVanish ความเร็วเหล่านี้ไม่ได้เลวร้ายนักแต่ก็ยังห่างไกลจากความเร็วที่เราได้รับจากผู้ให้บริการชั้นนำรายอื่น
ถึงกระนั้น ความเร็วขนาดนี้ก็เพียงพอที่ผมจะสตรีมมิ่งวิดีโอ 8k จาก YouTube ได้ ถ้าพูดกันจริง ๆ ประมาณ 15Mbps ก็จะได้แค่วิดีโอ UHD
4. ราคาดีโดยไม่ต้องสมัครใช้เป็นระยะเวลานาน
IPVanish ดูเหมือนจะมีราคาอยู่ในระดับกลาง ๆ ในสงครามหั่นราคาของบริการ VPN โดยมีราคาอยู่ที่ 310 บาทต่อเดือนแบบเฉพาะกิจและ 200 บาทต่อเดือนสำหรับแพ็กเกจหนึ่งปีซึ่งมันก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก ในด้านหนึ่งถ้าคุณสมัครแบบรายเดือนมันก็ไม่ได้มีราคาแพงมาก แต่อีกด้านหนึ่ง คุณจะไม่ได้ประหยัดมากเท่ากับการสมัครแพ็กเกจระยะยาวกับเจ้าอื่น
ตัวอย่างเช่น NordVPN ซึ่งตั้งราคาสำหรับแพ็กเกจระยะยาวได้อย่างน่าทึ่ง
สิ่งที่เราไม่ชอบเกี่ยวกับ IPVanish VPN
1. ขาดเซิร์ฟเวอร์เสริมประสิทธิภาพ
นี่เป็นสิ่งแรกที่ได้สังเกตเห็นเมื่อผมติดตั้งไคลเอนต์ VPN บนระบบของผม ผมสำรวจดูการตั้งค่าต่าง ๆ มากมายและสังเกตเห็นว่า IPVanish ให้ความสำคัญกับสัญญาณปิงของเซิร์ฟเวอร์มากผิดปกติและจัดอันดับตามนั้น ยิ่งไปกว่านั้น คุณต้องลุ้นด้วยว่าแอปพลิเคชั่นจะเลือกอะไรให้คุณ
อย่าเข้าใจผมผิดนะครับ สัญญาณปิงของเซิร์ฟเวอร์สำคัญอย่างแน่นอนเพราะโดยทั่วไปแล้วสัญญาณปิงช่วยบ่งบอกให้รู้ว่าเซิร์ฟเวอร์สื่อสารกับอุปกรณ์ของคุณได้เร็วหรือช้าแค่ไหน แต่มันไม่สำคัญมากขนาดนั้นในปริบทนี้
ในฐานะผู้ใช้ VPN ผู้ให้บริการควรจะมองออกว่าเราในฐานะผู้ใช้อาจจะใช้การเชื่อมต่อ VPN สำหรับอะไรหลากหลายอย่าง เช่น การทอร์เรนต์ การสตรีมมิ่งวีดิโอหรืออะไรอย่างอื่น ฉะนั้น ทำไมจึงเน้นแค่สัญญาณปิง ได้โปรดช่วยทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นด้วยเถอะ
2. ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัว
แม้จะประกาศนโยบายไม่บันทึกข้อมูลการใช้งานต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่ IPVanish ถูกโจมตีอย่างหนักมาตลอดจากกรณีที่ยอมอ่อนข้อต่อหน้าเจ้าหน้าที่ในอดีต สิ่งที่น่ากระอักกระอ่วนยิ่งขึ้นไปอีกคือ ค่ายนี้ถูกกล่าวหาว่ามอบข้อมูลให้ทางการซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิด
2.1. บริษัทตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา
ในฐานะบริษัทหนึ่งที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา IPVanish มีหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวน หากตัดสินจากการที่ทางบริษัทถูกกล่าวหาว่าลอยแพผู้ใช้ของพวกเขาอย่างรวดเร็วเมื่อถูกร้องขอจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐอเมริกา ผมขอถามอีกครั้งว่าคุณยินดีที่จะเสี่ยงให้ทางบริษัทปกป้องคุณหรือไม่
ขณะนี้สหรัฐอเมริกากำลังต่อสู้เพื่อให้กฎหมายการเก็บข้อมูลผ่าน แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีกฎหมายบังคับการเก็บข้อมูลเหมือนกับคำสั่งเก็บข้อมูลแห่งสหภาพยุโรป แต่อีกนานแค่ไหนก่อนที่กฏหมายนี้จะกลายเป็นความจริง
2.2. กระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการบันทึกข้อมูลการใช้งาน
ในช่วงต้นของปีนี้ (2018) บทความใน TorrentFreak กล่าวหาว่า IPVanish ส่งบันทึกข้อมูลผู้ใช้ให้กับเจ้าหน้าที่ (กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐอเมริกา) ใช่แล้ว บันทึกผู้ใช้ แค่นั้นก็แย่พอแล้ว
ทุกวันนี้ IPVanish ถูกซื้อกิจการไปแล้ว และเมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางบริษัทจะปฏิเสธทุกอย่างโดยบอกว่าไม่รู้อะไรทั้งสิ้นสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการซื้อกิจการ แม้กระนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่ามันน่าตกใจที่การฝ่าฝืนหลักการสำคัญที่สุดประการหนึ่งของการบริการ VPN อย่างรุนแรงนั้นถูกปกปิดไว้โดยเจ้าของรายใหม่
IPVanish ไม่ได้ ไม่มีและจะไม่บันทึกหรือจัดเก็บบันทึกของผู้ใช้ของเราในฐานะบริษัท StackPath ผมไม่สามารถพูดในสิ่งที่เกิดขึ้นกับการมองดูของคนอื่นและทีมผู้บริหารนั้นก็หายไปนาน แต่การรู้ว่านอกเหนือจากการไม่บันทึก StackPath จะปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ของเราโดยไม่คำนึงถึงผู้ที่ต้องการเป็นอย่างอื่น” – Jeremy Palmer รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และการตลาด
คำถามคือคุณยินดีที่จะเชื่อคำพูดของพวกเขาเพราะพวกเขาป้องกันความเสี่ยงได้อย่างชัดเจนหรือไม่?
2.3. พบข้อมูลตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ที่ผิดปกติ
ผมได้ใช้ speedtest.net มาเป็นเวลานานซึ่งโดยปกติจะไม่ใช่เพียงแค่แม่นยำในแง่ของการทดสอบความเร็ว แต่ยังแสดงตำแหน่งที่ถูกต้องของเซิร์ฟเวอร์ที่เกี่ยวข้องในการทดสอบด้วย อันที่จริง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีปัญหานี้นับตั้งแต่ใช้บริการ
เมื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ IPVanish ผมสังเกตเห็นว่า Speedtest มักจะพยายามจับคู่ผมกับเซิร์ฟเวอร์ซึ่งอยู่ไกลมากจากตำแหน่งที่ผมถูกแสดงอยู่ โดยปกติแล้วมันจะจับคู่คุณกับเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้เคียงที่สุดกับตำแหน่งของคุณ
ดังนั้น เหตุใดมันจึงพยายามจับคู่ผมกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ไกลหลายพันกิโลเมตร ผมแจ้งปัญหานี้ไปที่ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าผ่านทางอีเมล แต่พวกเขาไม่สนใจคำถามของผม มีใครพอจะมีไอเดียไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น
น่าเสียดายที่ปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้บางครั้งก็แพร่กระจายไปยังบริการระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ผู้เล่น iBBC ที่แสดงด้านล่าง
3. ฝ่ายบริการลูกค้าที่แย่มาก
สิ่งที่ผมไม่พอใจที่สุดเกี่ยวกับ IPVanish คือการสนับสนุนลูกค้าที่แทบจะพูดได้ว่าไม่มีเลย แน่นอนผมสามารถเข้าใจได้ว่าบางบริษัทไม่ได้ให้การสนับสนุนลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน 365 วันต่อปี โดยเฉพาะผ่านบริการ
แชทสดเนื่องจากค่าใช้จ่ายอาจจะเพิ่มขึ้น
แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมบริษัทผู้ให้บริการด้านเทคนิคอย่าง IPVanish ถึงคิดได้ว่าไม่ต้องให้บริการช่วยเหลือดูแลลูกค้าในลักษณะนี้
ผมเข้าใจไม่ได้ว่า ทำไมทางบริษัทถึงรู้สึกว่ามันไม่เป็นไรที่จะอ้างว่ามีบริการสนับสนุนลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง
ทุกวันถ้าพวกเขาใช้เวลา 3 วันกว่าจะตอบกลับอีเมลขอความช่วยเหลือที่เขียนไปอย่างละเอียดแถมยังตอบแบบไม่เต็มใจ
โดยทางเทคนิคแล้วบริษัทไม่ผิดอะไรเพราะมีการตอบกลับทันทีด้วยอีเมลอัตโนมัติที่บอกว่าพวกเขาจะตอบกลับในไม่ช้า ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นการสวนทางกับเจตนารมย์ของการช่วยเหลือดูแลลูกค้าที่ทำให้ผมรู้สึกงง
ไม่เพียงแค่ตอบสนองล่าช้าไปสามวันเท่านั้น แต่ฝ่ายช่วยเหลือดูแลลูกค้ายังไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาของผมในลักษณะที่เป็นประโยชน์อะไรเลย พวกเขาแค่บอกกับผมว่า
ยุติการเชื่อมต่อจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้อยู่และเปลี่ยนเป็นโปรโตคอลอื่น ลองเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด
ผมได้ให้ข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับปัญหาที่ผมเผชิญพร้อมกับการกำหนดค่าไคลเอนต์ของผมไปให้ด้วย แต่พวกเขากลับตอบมาแค่นี้ ถ้าผมไม่ได้ลองวิธีที่พวกเขาแนะนำไปแล้วก่อนที่จะเขียนไปขอความช่วยเหลือ ผมจะละอายใจตัวเองมากทีเดียว ผมไม่แน่ใจว่าปัญหานี้เป็นนโยบายของบริษัทหรือพนักงานฝ่ายบริการลูกค้าที่ไม่อยากทำงานแต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนกัน
ช่างน่าละอายมากเลย IPVanish
4. แอปพลิเคชั่นลูกค้าที่แย่
ไล่ไปตั้งแต่การออกแบบที่ล้าสมัยไปจนถึงการขาดตัวเลือกที่เด่นชัด คนที่พยายามมองโลกสวยอาจจะบอกว่า แอป IPVanish มีความคล่องตัวและเรียบง่าย น่าเสียดายที่การขาดฟังก์ชั่นที่จำเป็นมาก ๆ หลายฟังก์ชั่นทำให้มันดูออกแบบมาไม่ดีมากกว่าเพื่อความคล่องตัว
ไล่ไปตั้งแต่ต้องทนใช้งาน มาตรฐานการเข้ารหัสอย่างเดียวไปจนถึงขาดการจัดการเซิร์ฟเวอร์ (ยกเว้นสัญญาณปิง ค่ายนี้วนเวียนอยู่กับสัญญาณปิง) ผมบอกได้เลยว่า จำกัดจำเขี่ยกับการออกแบบมากเกินไป
และโดยส่วนตัว ถ้าผมมีบริการที่ให้ความเร็วที่ต่ำแบบนั้น ผมจะไม่รวมเอาเครื่องมือติดตามดูปริมาณการรับส่งข้อมูลในไคลเอ็นต์ด้วย มันเหมือนกับการเอาน้ำเกลือไปราดบนแผลสด ๆ เลยทีเดียว
บทสรุป: IPVanish VPN คุ้มค่ากับราคาหรือไม่
ในขณะที่ผมนั่งพักหายใจหลังจากบ่นเกี่ยวกับการบริการลูกค้ามาอย่างยืดยาว ผมต้องสงบสติอารมณ์สักสองสามนาทีเพื่อรวบรวมความคิดอีกครั้ง สิ่งหนึ่งที่ผมรำคาญใจมากก็คือ การบริการลูกค้าที่แย่ซึ่งผมรู้สึกแย่เอามาก ๆ ในครั้งนี้
เมื่อพยายามเปรียบเทียบข้อดีกับข้อเสียของบริษัทนี้ ผมรู้สึกเหมือนกับว่ายังดูมีอะไรแปลก ๆ อยู่บ้างเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นจุดยืนเรื่องความปลอดภัยที่เข้มงวดมากโดยบังคับใช้การเข้ารหัส 256 บิต แต่ในขณะเดียวกันทางบริษัทก็ถูกกล่าวหามากมายเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการบันทึกข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ซึ่งทางบริษัทพยายามที่จะปฏิเสธว่าไม่รับรู้อะไรด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว ผมรู้สึกว่าเรื่องทางเทคนิคไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ IPVanish ต้องเผชิญ แต่เป็นทัศนคติของบริษัท
มากกว่า ไล่ไปตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการตลาดที่พยายามปัดข้อกล่าวหาทั้งหลายด้วยการบอกว่า “เราไม่รู้อะไรเลย” ไปจนถึงเจ้าหน้าที่บริการลูกค้าที่ไม่สนใจลูกค้า ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่า IPVanish กำลังประสบปัญหาที่ร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม ด้วยการวางจุดยืนทางการตลาดที่ดูดี ก็ยังมีคนเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ถ้าไม่ใช่เป็นพันเป็นหมื่นนะครับที่ไม่สนใจจะศึกษาหาข้อมูลมาอ่านก่อนที่จะเชื่อในสิ่งที่บริษัททั้งหลายโฆษณา
โดยส่วนตัวแล้ว ผมจะไม่แตะ IPVanish เลย แต่พูดกันตรง ๆ นะครับ บริษัทนี้ก็มีข้อดีตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในรีวิว
ฟีเจอร์หลัก
- การเข้ารหัสแบบ 256 บิต
- ตัวเลือกราคาที่สมดุล
- รองรับอุปกรณ์ได้สูงสุด 10 เครื่องพร้อมกัน
- รับประกันคืนเงินภายใน 7 วัน
- รองรับการแชร์ไฟล์แบบ P2P
- นโยบายไม่บันทึกข้อมูลการใช้งาน
แนะนำสำหรับ
- การสตรีมมิ่งวิดีโอ (บางครั้ง)
- ผู้ใช้ที่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัย
- แฟน ๆ P2P
- ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
• ไม่มีนโยบายการบันทึกและเชื่อมต่อได้มากที่สุดถึง 10 อุปกรณ์พร้อมกัน
• รับประกันคืนเงินภายใน 7 วัน
IPVanish
ราคาเริ่มต้นที่
200 บาท*
รายเดือน