tl;dr
Shopify เป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่เน้นหนักไปที่การสร้างร้านค้าสำหรับอีคอมเมิร์ซ มันช่วยให้การสร้างและบริหารจัดการเป็นไปได้อย่างง่ายดายตั้งแต่ต้นจนจบในเกือบทุกด้านของธุรกิจ ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการจัดการสินค้าคงคลัง มันทำได้เกือบทุกอย่างยกเว้นทำอาหาร ดังนั้น มันจึงน่าแปลกใจเล็กน้อยที่แผนกความเร็วจะล่าช้าไปสักหน่อย เรียนรู้เพิ่มเติม
ว่าไปแล้ว Shopify เป็นมากกว่าเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ทั่วไป อันที่จริง มันไม่ได้ตั้งใจสร้างแบรนด์ให้ตัวเองเป็นแบบนั้น แต่ต้องการให้ตัวเองเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่สมบูรณ์แบบมากกว่า แบรนด์นี้เปิดตัวและเติบโตขึ้นมาในเมืองออตตาวาประเทศแคนาดาตั้งแต่ปี 2004 ปัจจุบันบริษัทรองรับร้านค้าออนไลน์สำหรับผู้ค้ามากกว่า 600,000 รายที่มียอดขายรวมมากกว่า 82,000 ล้านดอลล่าร์
สิ่งที่บริษัททำคือ เสนอเครื่องมือสำหรับผู้ใช้ในการสร้างร้านค้าออนไลน์อย่างง่ายดาย ตั้งแต่การเสนอการออก แบบอย่างรวดเร็วไปจนถึงบริการสนับสนุนด้านอื่น ๆ เช่น ช่องทางการชำระเงิน เครื่องมือทางการตลาดหรือแม้แต่การจัดการสินค้าคงคลัง Shopify ถือเป็นเครื่องมือครบวงจรอย่างแท้จริงสำหรับผู้ค้าอีคอมเมิร์ซ
สารบัญ
ข้อดีของ Shopify
- ประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานที่ราบรื่นและครอบคลุม
- ธีมที่ปรับแต่งได้ตามใจ
- Shopify มีเครื่องมือทางการตลาดที่น่าทึ่ง
- ชุมชนผู้ใช้บริการที่ช่วยเหลือกันอย่างดี
- การเข้าถึงแอปของบุคคลที่สาม
- ขายได้ทุกช่องทาง !
- ขยายจากหน้าร้านค้าจริงไปยังโลกออนไลน์
- รู้จริงและช่วยเหลือดูแลลูกค้าอย่างยอดเยี่ยม
ข้อเสียของ Shopify
- มีรายละเอียด เยอะ มาก
- แอปของบุคคลที่สามอาจสร้างความเสียหายกับเว็บไซต์ได้
- ความเร็วเว็บไซต์ที่น่าสงสัย
แพ็กเกจและฟีเจอร์ของ Shopify
บทสรุป
สิ่งที่ Shopify โดนใจเรา
1. ประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานที่ราบรื่นและครอบคลุม
ผมคิดว่าหนึ่งในข้อดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Shopify คือประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานที่ราบรื่น มันช่วยแนะนำผู้ใช้อย่างไร้ที่ติตลอดกระบวนการสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอย่างชาญฉลาด
หลังจากคุณลงทะเบียนสมัครใช้งาน กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบจะไม่ยุ่งยากเลยและมีความคล่องตัวอย่างมาก Shopify พยายามอย่างดีที่สุดที่จะสื่อสารกับผู้ใช้บริการเพื่อให้เห็นภาพว่าเว็บไซต์มีวัตถุประสงค์อะไรหรือต้องการให้ออกมาหน้าตาเป็นยังไง
ระบบจะถามคำถามสั้น ๆ จำนวนหนึ่งกับคุณซึ่งคำตอบจะช่วยให้ Shopify คิดหาโซลูชั่นที่ดีที่สุดสำหรับคุณ Shopify ถึงกับคิดค้นวิธีที่ให้ระบบสามารถแนะนำผู้ใช้ว่าควรใช้ธีมไหนจึงจะเหมาะกับธุรกิจของผู้ใช้บริการ
เมื่อคุณผ่านขั้นตอนการติดตั้งเบื้องต้นแล้ว คุณสามารถสำรวจฟีเจอร์ที่เหลือได้ตามอัธยาศัย อย่างน้อยคุณจะได้มีภาพคร่าว ๆ ซึ่งมีประโยชน์มากเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่พยายามใช้ Shopify แต่ไม่ได้มีไอเดียอะไรเป็นพิเศษไว้ก่อนแล้วตอนที่สมัครเพื่อลองใช้บริการ
กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับผู้ใช้มือใหม่เท่านั้น แต่ดีกับคนที่อยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่นหากคุณมีหน้าร้านจริง ๆ อยู่แล้วและต้องการขยายกิจการมาช่องทางออนไลน์ด้วย หรือหากคุณกำลังต้องการ เลิกขายผ่านหน้าร้านค้าจริงและเปลี่ยนมาขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหมด ค่ายนี้ก็มีตัวเลือกดังกล่าวให้ด้วยเช่นกัน
เพียงแค่ตอบคำถามสองสามข้อในระหว่างดำเนินการ คุณก็จะช่วยให้ Shopify ช่วยคุณในกระบวนการนี้ได้
2. ธีมที่ปรับแต่งได้ตามใจ
แม้ว่า Shopify จะมีธีมสำหรับความต้องการที่หลากหลาย แต่ธีมเหล่านี้มีไว้เพื่อเป็นแนวทางเท่านั้นซึ่งมีแนวโน้มว่าคุณจะต้องการปรับโน่นปรับนี่อีกเยอะแยะเพื่อให้เข้ากับธุรกิจของคุณอย่างมีเอกลักษณ์ นี่หมายความว่าคุณสามารถเพิ่มรูปภาพและพื้นหลังแบบต่าง ๆ ตามใจชอบเพื่อให้เว็บไซต์มีภาพลักษณ์และความรู้สึกที่ดี
นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบสำคัญอื่น ๆ อีกที่จำเป็นกับเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะมีส่วนที่เป็นบล็อกเอาไว้ช่วยคุณในการทำ SEO หรือคุณอาจต้องการจะมีแคตตาล็อกผลิตภัณฑ์ที่แสดงรายการสินค้าทุก อย่างที่คุณมีรวมถึงราคา รูปภาพและอื่น ๆ
เลย์เอาต์ที่หลากหลายมีไว้รองรับวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันของเว็บไซต์ ดังนั้น คุณอาจจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยในการสร้างความคุ้นเคยกับมัน ผมคิดว่าเลย์เอาต์แบบไหนเหมาะจะขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังขาย อะไร ลองดูตัวอย่างเว็บไซต์ที่ผมติดตั้ง ผมตั้งใจจะขายส่วนประกอบขนาดเล็กสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลโดยที่บางชิ้นเล็กเท่าน็อตเอง
การมีเลย์เอาต์รูปภาพขนาดใหญ่ดูเหมือนจะไร้สาระนิดหน่อยและจะดูสมเหตุสมผลกว่าหากจะมีแคตตาล็อกสินค้าคงคลังที่สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ขายออกง่าย
ลองนึกภาพเทียบกับเว็บไซต์ที่โปรโมตสิ่งสวยงามอย่างทัวร์ท่องเที่ยว สำหรับเว็บไซต์ลักษณะนั้น รูปภาพที่สวยงามและมีขนาดใหญ่จะสื่ออารมณ์ถึงว่าที่ลูกค้าได้ดี
ไม่ว่าคุณจะมองมันอย่างไร ท้ายที่สุดคุณจะสังเกตเห็นได้ว่า การปรับแต่งด้วยเครื่องมือของ Shopify ทั้งหมดได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณสร้างร้านค้าออนไลน์ที่น่าใช้บริการมากกว่า โครงสร้างพื้นฐานที่พวกเขานำเสนอถือเป็นกรณีตัวอย่าง
เครื่องมือปรับแต่งจำนวนมากถูกออกแบบมาเพื่อสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซโดยตรง อย่างเช่น จดหมายข่าวหรือแคตตาล็อกผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม อาจจะมีความสับสนบ้างเล็กน้อยเนื่องจากบางครั้งใช้คำศัพท์เฉพาะของ Shopify ในการพูดถึงเครื่องมือเหล่านี้
3. Shopify มีเครื่องมือทางการตลาดที่น่าทึ่ง
ผมยังจำรีวิว Squarespace ของผมได้ว่ามีตัวเลือกจำกัดเมื่อพูดถึงการดันเว็บไซต์ให้ขึ้นไปอยู่อันดับแรก ๆ ของการแสดงผลการค้นหาทางอินเทอร์เน็ต (SEO) ซึ่งต่างจากกรณีของ Shopify อันที่จริง นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่า Shopify มีโค้ดที่สะอาดและเป็นมิตรต่อเครื่องมือค้นหาแล้ว Shopify ยังเปิดโอกาสให้คุณใส่แท็กที่กำหนดเองรวมถึงคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อได้อีกด้วย
ถัดมาผมได้ค้นพบความสุขกับการที่ผมสามารถสร้างแคมเปญการตลาดผ่านแผงควบคุมของ Shopify ได้เลยในฐานะที่ผมใช้งานหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน ผมสามารถเห็นและรู้สึกได้ถึงข้อดีของการรวมทุกอย่างไว้ในที่เดียวกันแบบนี้อย่างแน่นอน
แม้ว่าภาพหน้าจอที่ผมแสดงจะมีเพียงแค่สองรายการ แต่อย่ากังวลไปครับ นี่เป็นเพียงค่าเริ่มต้นและคุณจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือทางการตลาดอื่น ๆ ได้หากคุณตัดสินใจที่จะใช้แอปเหล่านั้นจากรายการแอปของ Shopify เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถสร้างหน้าแรกสำหรับแต่ละแพลตฟอร์มทางการตลาดได้จากแผงควบคุม Shopify
ผมไม่เคยเห็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อันไหนสามารถทำได้ดีหรือครอบคลุมขนาดนี้ ความเจ๋งในด้านนี้ทำให้ผมประทับใจได้ไม่สิ้นสุด
4. ชุมชนผู้ใช้บริการที่ช่วยเหลือกันอย่างดี
ทั้ง ๆ ที่มีฐานความรู้ขนาดใหญ่ไว้สำหรับให้ความช่วยเหลือผู้ใช้บริการรวมถึงบทความอธิบายคำถามที่พบบ่อย Shopify ยังมีชุมชนของผู้ใช้บริการที่เชื่อมโยงถึงกันเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้เป็นสถานที่ในการพูดคุยเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับแพลตฟอร์มของตัวเอง คุณยังสามารถติดตามข่าวสารและการพัฒนาต่าง ๆ ในโลกของ Shopify ได้ที่นี่ ทั้งนี้ Shopify เป็นคนบริหารจัดการชุมชนนี้เอง
การมีชุมชนขนาดใหญ่และมีการเคลื่อนไหวเช่นนี้แตกต่างจากการอาศัยเพียงฐานความรู้และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือดูแลลูกค้า ผู้ใช้แต่ละคนมีความแตกต่างกันในแง่ของระดับความสามารถและวุฒิภาวะในการใช้งาน Shopify ฉะนั้น คนในชุมชนจะสามารถช่วยเหลือกันได้ง่ายเมื่อจำเป็น
ฐานความรู้และคำถามที่พบบ่อยสามารถใช้เป็นด่านแรกในการแก้ปัญหาได้ แต่มันก็ดีกว่ามากหากจะมีกลุ่มผู้ใช้ขนาดใหญ่ซึ่งคุณสามารถขอความช่วยเหลือได้ในกรณีที่เจอปัญหาที่ไม่ได้ระบุไว้ ชุมชนนี้มีลักษณะที่ไม่เป็นทางการและเป็นชุมชนที่แท้จริง
นอกจากคำถามทางเทคนิคแล้ว ผมยังเคยเห็นผู้ใช้บางคนเขียนโพสต์ในชุมชนเพื่อขอคำติชมเกี่ยวกับเว็บไซต์ Shopify ของพวกเขาเอง นอกจากจะเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรับฟังความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์แล้ว ยังอาจจะใช้ในการโปรโมตเว็บไซต์ของตัวเองภายในชุมชน Shopify ไปด้วยในตัว
5. การเข้าถึงแอปของบุคคลที่สาม
อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ Shopify มีตลาดแอปที่คุณสามารถเลือกใช้และติดตั้งแอปของบุคคลที่สามซึ่งสามารถทำงานร่วมกับร้านค้าออนไลน์ของคุณได้ แอปเหล่านี้มาจากฝีมือของนักพัฒนาที่มองเห็นความต้องการเฉพาะบางอย่างและพยายามคิดค้นสิ่งที่ออกมาใช้ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้
แน่นอนว่า Shopify มีแอปของตัวเองสำหรับการใช้งานด้านอื่น ๆ ด้วยซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องจัดไว้ในเวอร์ชั่นหลักของเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ด้วยการตั้งเป็นค่าเริ่มต้น
การเปิดดู Shopify App Marketplace เป็นประสบการณ์ที่คุณจะรู้สึกคุ้นเคยมากอยู่แล้วเพราะเหมือนกับการเปิดดู Apple App Store หรือ Play Store ของ Google พอได้เปิดดูรายการแอปต่าง ๆ ที่มีไว้ให้เลือกก็ทำให้ผมรู้สึกประทับใจอย่างมากว่าค่ายนี้ได้คิดมาอย่างละเอียดลึกซึ้งก่อนที่จะตัดสินใจนำแอปเหล่านี้มานำเสนอไว้เป็นตัวเลือก
แน่นอน คุณคงจะคาดหวังว่าจะได้พบกับสิ่งต่าง ๆ เช่น ส่วนเสริมด้านการออกแบบ จดหมายข่าวที่เห็นกันทั่วไป เป็นต้น แต่ที่นี่คิดไปไกลกว่านั้นอีกครับ ยกตัวอย่างเช่น สิ่งหนึ่งที่ผมเจอคือโปรแกรมป้องกันการฉ้อโกง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับร้านค้าออนไลน์และเจ้าของร้านมือใหม่อาจจะยังคิดไม่ถึง
หรืออาจจะนำเสนอวิธีการใหม่ ๆ ไว้ให้คุณช่วยเหลือดูแลลูกค้า เช่น โปรแกรมใช้เอไอคอยตอบแชทกับลูกค้า หรือแอปบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนและ/หรือการคืนสินค้า ที่นี่มีอะไรมากมายเหลือเกินและบางอย่างอาจจะมีค่ามหาศาลสำหรับคุณ ผมแทบจะไม่เห็นอะไรที่เป็นแค่แอป “ไร้สาระ” หรือไร้ประโยชน์สิ้นดี
โปรดจำไว้ว่า แอปจำนวนมากที่มีอยู่นั้นต้องเสียเงินถึงแม้ราคาจะย่อมเยาก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น แอป ShipStation ที่ช่วยดูแลกระบวนการจัดส่งสินค้าที่ซื้อผ่านร้านค้าของคุณโดยอัตโนมัติ แอปนี้สนนราคาเพียง 279 บาทต่อเดือนซึ่งไม่เพียงแค่ดูแลการจัดส่งสินค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณมีสิทธิได้รับส่วนลดจากบางบริษัทอย่าง FedEx และ USPS
• แอปมากกว่า 2,500 แอปที่ช่วยเสริมการทำธุรกิจของคุณ
6. ขายได้ทุกช่องทาง !
ก่อนหน้านี้ผมได้พูดไปแล้วว่า คุณสามารถใช้แดชบอร์ดของ Shopify สร้างแคมเปญการตลาดได้เลย แต่ผมอยากจะแชร์ข้อมูลที่น่าสนใจขึ้นไปอีก นั่นคือ Shopify ไม่เพียงแต่จะช่วยคุณสร้างร้านค้าเพื่อขายของเท่านั้น แต่ยังช่วยคุณขยายร้านค้าของคุณไปยังช่องทางอื่น ๆ อีกด้วย
ระบบนี้แสดงถึงวุฒิภาวะทางความคิดอย่างสูง โดยแทนที่จะหวงลูกค้าเอาไว้ ค่ายนี้กลับเน้นช่วยเหลือลูกค้าให้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ถือว่าเป็นแนวคิดที่น่าชื่นใจมากสำหรับบรรดาผู้ให้บริการ
อันที่จริง Shopify ส่งเสริมให้คุณใช้ประโยชน์จากช่องทางไหนก็ได้ที่ดีเพื่อผลักดันยอดขายของคุณให้ดียิ่งขึ้น คุณสามารถเชื่อมต่อร้านค้าของคุณใน Shopify กับ Facebook หรือเชื่อมต่อกับ Amazon Pinterest หรือแม้แต่แอปมือถือที่คุณพัฒนาขึ้นมาเอง
7. ขยายจากหน้าร้านค้าจริงไปยังโลกออนไลน์
การช็อปปิ้งออนไลน์ที่เฟื่องฟูส่งผลกระทบในทางลบกับร้านค้าปลีกอย่างเห็นได้ชัด เลยทำให้ผู้ค้าปลีกจำนวนไม่น้อยกำลังมองหาวิธีใช้ประโยชน์จากการค้าขายออนไลน์ บางคนอาจจะต้องการสร้างร้านค้าออนไลน์นอกเหนือจากร้านค้าจริงที่มีอยู่แล้วหรือหันมาขายออนไลน์อย่างเดียว
สำหรับผู้ที่ต้องการขายทั้งหน้าร้านจริงและทางออนไลน์ Shopify ตอบโจทย์ได้อย่างไม่เหมือนใครโดยมีการเชื่อมต่อระบบ จุดชำระเงิน (POS) ของทางค่าย นั่นหมายความว่าคุณสามารถใช้ Shopify POS ในร้านค้าจริงที่นอกระบบออนไลน์และใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลที่ใช้ร่วมกันระหว่างหน้าร้านจริงกับร้านออนไลน์
ฐานข้อมูลแบบรวมกันนี้ช่วยให้คุณบริหารจัดการข้อมูลทุกอย่างที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า ยอดขาย สินค้าคงคลังและอื่น ๆ อุปกรณ์ Shopify POS ยังช่วยเรื่องการชำระเงินผ่านช่องทางการชำระเงินระหว่างประเทศมากกว่า 100 ช่องทาง ส่งผลให้ธุรกิจของคุณเป็นการค้าขายระดับโลกอย่างแท้จริง
การย้ายจากการค้าปลีกผ่านหน้าร้านจริง ๆ ไปสู่ออนไลน์ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ที่เคยชินกับวิธีการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ การที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ระหว่างหน้าร้านจริงกับร้านในโลกออนไลน์โดยเก็บองค์ประกอบของ การทำธุรกิจแบบดั้งเดิมบางส่วนเอาไว้ เช่น ระบบ POS ช่วยให้ Shopify ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองโลกสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง
• ลงทะเบียนเพื่อทดลองใช้ฟรี 14 วันโดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
8. รู้จริงและช่วยเหลือดูแลลูกค้าอย่างยอดเยี่ยม
นอกเหนือจากขั้นตอนการเริ่มต้นใช้งานที่ยอดเยี่ยมและฟีเจอร์มากมายมหาศาลแล้ว Shopify ยังมีระบบช่วยเหลือที่ครอบคลุมทุกด้านเพื่อรองรับกับจำนวนฟีเจอร์ เราไม่ได้กำลังพูดถึงการให้ความช่วยเหลือแบบจำกัดและแบบสุ่มที่บริษัทส่วนใหญ่ใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาพยายามช่วยเหลือ แต่ฐานข้อมูลความช่วยเหลือของ Shopify ออกแนวพยายามให้คำแนะนำอย่างดีที่สุดแทนที่จะแค่แก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งเป็นการเฉพาะ
คุณสามารถค้นหาหัวข้อต่าง ๆ มากมายซึ่งอยู่ในหัวใจของคนทำร้านค้าออนไลน์ เช่น SEO การตลาดหรือแม้แต่การวิเคราะห์ข้อมูล ลักษณะเช่นนี้ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับคู่แข่งบางรายที่พยายามจำกัดความช่วยเหลือไว้เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานของบริการตัวเองเท่านั้น และปฏิเสธที่จะช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำที่นอกเหนือจากนั้น
หากคุณรู้สึกว่า การพยายามหาคำตอบจากฐานข้อมูลไม่ใช่สิ่งที่คุณถนัด Shopify ยังมีทีมช่วยเหลือดูแลลูกค้าที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ไม่ใช่แค่ทางอีเมลเท่านั้นแต่ยังสามารถโทรหาและแชทสดได้
สิ่งที่เราไม่ชอบเกี่ยวกับ Shopify
1. มีรายละเอียด เยอะ มาก
ในตอนแรกผมรู้สึกขยาดเล็กน้อยเมื่อเห็นรายละเอียดมากมายก่ายกองในบัญชี Shopify ซึ่งเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการเริ่มต้นใช้งานที่แสนราบรื่นและยอดเยี่ยมอย่างที่ผมได้พูดถึงก่อนหน้านี้ แต่พอผมทำตามขั้นตอนพื้นฐานต่าง ๆ เสร็จและมีอิสระที่จะเล่นกับสิ่งที่มีใน Shopify ผมก็เผลอใช้เวลาไปเยอะมากกับการสำรวจอินเทอร์เฟสเพื่อลองนั่นลองนี่ไปเรื่อย
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ มีอะไรเยอะแยะมากมายเหลือเกินที่คุณสามารถใช้ประโยชน์จาก Shopify ได้ ผมขอย้ำนะครับว่าเยอะมากจริง ๆ อย่าเข้าใจผมผิดและคิดว่าผมกำลังบ่นด้วยความไม่ชอบใจนะครับเพราะอันที่จริงนี่เป็นสิ่งที่ดีมากในแง่ของศักยภาพ แต่ถ้าคุณปล่อยให้ตัวเองเพลินมากเกินไป คุณอาจจะลืมจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของตัวเองได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว
นอกจากคุณจะเสียสมาธิแล้ว หากคุณไม่ระวังให้ดี สุดท้ายคุณอาจจะซื้อแอปเสริมหรือโปรแกรมเสริมมากเสียจนลืมไปเลยว่าเป้าหมายที่แท้จริงสำหรับร้านของคุณคืออะไร แต่ในขณะเดียวกัน หากคุณเมินตัวเลือกเหล่านี้ คุณก็อาจจะพลาดโอกาสดี ๆ ไปโดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ เนื่องจากบริการเสริมมากมายมีราคาถูกเหลือเกิน สุดท้ายคุณอาจจะซื้อบริการเสริมมากมายจนเกินจะจ่ายไหวและอาจจะต้องปรับเปลี่ยนการตั้งค่าร้านค้าของคุณใหม่หลายครั้ง
ผมขอแนะนำว่า ก่อนที่คุณจะปล่อยให้ตัวเองเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่มีเสนอให้เลือกใช้ใน Shopify พึงระลึกไว้เสมอว่าคุณต้องการอะไรจากการหันมาทำร้านค้าออนไลน์และหาเครื่องมือที่สามารถช่วยให้คุณบรรลุสิ่งที่คุณต้องการ อย่าออกนอกเส้นทางเด็ดขาด
อะไรที่นอกเหนือจากที่จำเป็นก็มองเสียว่า เป็นอาหารตา เอาไว้ทีหลัง บางทีอาจจะใช้ในเวอร์ชั่น 2.0 ของร้านค้าของคุณก็ได้
2. แอปของบุคคลที่สามอาจสร้างความเสียหายกับเว็บไซต์ได้
ถัดไปคือสิ่งที่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะของ Shopify แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากการเชื่อมต่อกับแอปของบุคคลที่สาม ประเด็นนี้น่าห่วงเป็นพิเศษเมื่อเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ เนื่องจากมันอาจจะมีข้อบกพร่องได้ง่ายซึ่งเป็นจุดบกพร่องที่ยังไม่พบหรือยังไม่ได้แก้ไขเมื่อซอฟต์แวร์สองตัวพยายามทำงานร่วมกัน
เมื่อปัญหานี้ผนวกเข้ากับการเพิ่มโค้ดหรือสคริปต์เข้าไปตรงนั้นตรงนี้ สิ่งไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผลที่ไม่คาดคิดเอาเสียเลย บางครั้งปัญหาเหล่านี้อาจจะแก้ไขได้ไม่ง่ายนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเล่นกับแอปหรือซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกับข้อมูลในฐานข้อมูลหลักของคุณ
การแก้ไขจุดบกพร่องและ/หรือการขอความช่วยเหลือเป็นกระบวนการที่ยากลำบากแม้ Shopify จะมีทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ในการช่วยเหลืออยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม นี่ไม่ใช่ความล้มเหลวของ Shopify แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
3. ความเร็วของเว็บไซต์ที่น่าสงสัย
จริง ๆ แล้ว เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ผมกังวลน้อยที่สุดเมื่อเริ่มการรีวิว Shopify แต่แค่ในชั่วพริบตาเรื่องนี้กลับกลายเป็นปัญหา ผมได้ทำการทดสอบความเร็วสองสามครั้งและปรากฎว่าเว็บไซต์ที่ใช้ Shopify อาจจะไม่รวดเร็วที่สุด
ในการทดสอบความเร็วของ Bitcatcha เว็บไซต์ของ Shopify ที่ผมใช้ทดสอบแทบจะทำได้ดีที่สุดก็ระดับ C + ความเร็วใช้ได้เมื่ออยู่ในโซนสหรัฐอเมริกาที่ 55 มิลลิวินาที แต่พอขยับไกลออกไปทางตะวันออกต่อไปยังเอเชียความเร็วจะลดลงเรื่อย ๆ โดยความเร็วในญี่ปุ่นอยู่ที่ 892 มิลลิวินาที
Shopify: เว็บไซต์โหลดได้ภายใน 3.174 วินาที – ดูผลลัพธ์ทั้งหมด
เมื่อหันมาใช้ WebPageSpeed Test ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนักและจุดนี้ทำให้ผมเห็นรายละเอียดบางอย่างเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยซึ่งพูดตรง ๆ นะครับว่าผมรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยที่เห็นว่าความเร็วในการได้รับข้อมูลตามที่เรียกหาอยู่ในระดับเกรด D และดูเหมือนจะมีปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับการแคชชิ่งเนื้อหาเช่นกัน
เหตุผลที่ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้ผิดปกติคือ ซอฟต์แวร์สร้างเว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะมีประสิทธิภาพสูงมากในเรื่องความเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ให้บริการส่วนใหญ่คิดค่าบริการสูงกว่าบริษัทเว็บโฮสติ้งทั่วไปสำหรับการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ
แพ็กเกจและฟีเจอร์ของ Shopify
พื้นฐาน | Shopify | ขั้นสูง | |
---|---|---|---|
ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม | 2.0% | 1.0% | 0.5% |
บัญชีพนักงาน | 2 | 5 | 15 |
ตำแหน่งที่ตั้ง | 4 | 5 | 8 |
Shopify POS | มี | มี | มี |
ราคา/เดือน | 899 บาท | 2,499 บาท | 9,269 บาท |
เรียนรู้เพิ่มเติม |
เริ่มต้นจากแผนขั้นพื้นฐานที่สุดซึ่งราคา 899 บาทไปจนถึง 2,499 บาทต่อเดือน แต่ไม่ใช่จบแค่นี้นะครับ เพราะ ยังมีค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมอีกต่างหาก สำหรับแพ็กเกจพื้นฐานที่สุด คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม 2% นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมรายเดือน
สมมติคุณมีรายได้ 31,000 บาทจากร้านค้าออนไลน์ของคุณ คุณจะต้องจ่ายให้ Shopify 899 บาท + 620 บาท (ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม 620 บาท)
ตอนนี้มาดูกรณีเปรียบเทียบกันครับระหว่างการใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์รายอื่นกับการโฮสต์เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณบนแพลตฟอร์มอื่น เครื่องมือสร้างเว็บไซต์รายอื่นจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างสูงมากเช่นเดียวกัน แต่อาจจะไม่มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม
ส่วนถ้าคุณต้องการโฮสต์เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณเอง คุณจะจ่ายน้อยลงในการโฮสต์ แต่คุณต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง นอกจากนี้คุณยังต้องมีช่องทางการชำระเงินซึ่งมีค่าใช้จ่ายเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น WorldPayซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการด้านชำระเงินออนไลน์อันดับต้น ๆ
หากคุณต้องการใช้ WorldPay กับเว็บไซต์ของคุณ คุณก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือนบวกค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ต่ำ หรือจ่ายค่าธรรมเนียมการใช้แบบคิดตามการใช้จริงซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงกว่า ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจจะราคาแพงกว่า Shopify!
ประเด็นก็คือ Shopify นั้นไม่ได้มีราคาถูก แต่สำหรับการเปิดร้านค้าออนไลน์ ตัวเลือกอื่น ๆ ที่มีก็อาจจะไม่ถูกเท่าไหร่เช่นกัน คุณจะต้องเจอกับค่าธรรมเนียมในการชำระเงินที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่ PayPal ก็ยังคิดค่าธรรมเนียมจากผู้ค้าไม่น้อยเลย
บทสรุป: Shopify เหมาะสำหรับคุณหรือไม่
ในแง่ของทรัพยากรและศักยภาพ ผมรู้สึกว่า Shopify อยู่ในระดับต้นของวงการเลยทีเดียว ผมไม่เคยเห็นที่ไหน มีตารางข้อเสนอที่ครอบคลุมขนาดนี้ในการช่วยเหลือให้ลูกค้าประกอบธุรกิจร้านค้าออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ
จริงอยู่มันมีจุดอ่อนเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วและราคาก็ไม่ได้ถูกเสียทีเดียว แต่นั่นก็คือต้นทุนในการทำธุรกิจใช่ไหมล่ะครับ หากคุณจริงจังกับการเปิดร้านค้าออนไลน์ Shopify เป็นตัวเลือกที่เจ๋งทีเดียว
ระบบอัตโนมัติมีออกมาให้ใช้เยอะแยะมากมายซึ่งคุณสามารถเปิดร้านขายของไปทั่วโลกแบบฉายเดี่ยวได้เลยเพียงแค่มี Shopify คอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ นอกจากนี้ Shopify ยังสามารถช่วยคุณทำบัญชีหลังปิดร้านได้อีกด้วย
สำหรับผมแล้ว คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าค่ายนี้จะเหมาะกับธุรกิจของคุณหรือไม่ แต่คำถามอยู่ที่ว่าคุณจริงจังกับการเปิดร้านค้าออนไลน์หรือเปล่า ถ้าคำตอบคือคุณมุ่งมั่นตั้งใจจริง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ Shopify ผมบอกได้เลยว่า ค่ายนี้คิดอะไรเผื่อคุณไว้เรียบร้อยแล้ว !
ฟีเจอร์หลัก
- ประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานที่น่าประทับใจ
- อินเทอร์เฟสที่มั่นคงและเชื่อถือได้
- แอปพลิเคชั่นมากมาย
- ฝ่ายดูแลลูกค้าเยี่ยมและข้อมูลดี
- ช่วยให้การสั่งซื้อสำเร็จ
- การประมวลผลการชำระเงินแบบครบวงจร
แนะนำสำหรับ
- ร้านค้าออนไลน์ทุกขนาด
- ธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต
- ร้านค้าปลีกที่กำลังมองหาการขยายตัวทางออนไลน์
• ทดลองใช้ฟรี 14 วัน แพ็กเกจแบบชำระเงินเริ่มต้นที่ 899 บาท/เดือน
• ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม 2%
Shopify
ราคาเริ่มต้นที่
NN.nn บาท
รายเดือน